ผลกระทบจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีสหรัฐที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2025
ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวของการปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐในหลายประเทศ อาทิเช่น จีน แม็กซิโก และแคนาดา ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ด้วย โดยนายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ได้เปิดเผยว่าในช่วงที่เกิดการชะลอการลงทุนทั่วโลก สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 2025 อาจเติบโตได้เพียงร้อยละ 2.1 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 2.8
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า ส่งผลให้การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ประกาศปรับเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าจากประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐ
นายเมธัส รัตนซ้อน กล่าวว่าหากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ถูกปรับเพิ่มขึ้นในวันที่ 2 เมษายนนี้ และประเทศไทยยังคงอยู่ในลิสต์ที่มีการปรับเพิ่มภาษี อาจทำให้การส่งออกสินค้าของไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โซลาร์เซลล์ และยางพารา ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการส่งออกอาจเติบโตได้เพียงร้อยละ 1 หรืออาจติดลบได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ GDP ของไทยที่อาจลดลงระหว่างร้อยละ 0.35-0.5
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบคือ การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดท่องเที่ยวใหญ่ของไทย โดยในปีนี้มีกระแสข่าวลบเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน รวมถึงเพิ่มการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยคาดว่าในปีนี้ไทยจะพลาดเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนถึง 2 ล้านคน หรืออยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยประมาณร้อยละ 0.2
จากทั้งสองปัจจัยเสี่ยงนี้ ทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ปรับคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 2025 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 2.8 โดยอัตราการขยายตัวในปีนี้จะต่ำกว่าปี 2567 ที่มีการเติบโตถึงร้อยละ 2.5
ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวที่ร้อยละ 2.8 คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.00 ตลอดทั้งปี แต่หากได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงมาตรการภาษีสหรัฐ และยอดนักท่องเที่ยวที่ไม่ถึงเป้าหมาย กนง. อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้ง ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.50-1.75 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไป
การปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบจากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2025 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2.1 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์เดิม นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่การเติบโตชะลอตัวลง
ทั้งนี้ การติดตามสถานการณ์สงครามการค้าและการปรับเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทยยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปในปีนี้
สงครามการค้า เศรษฐกิจไทย GDPไทย ภาษีสหรัฐ นักท่องเที่ยวจีน ภาษีตอบโต้