ข่าวสารธุรกิจ

รัฐ-เอกชนรับศึก Trade War จับตาพายุเศรษฐกิจ 4 ปีข้างหน้า

prachachat

 

ไทยเผชิญศึก Trade War รอบใหม่ จับตากำแพงภาษีสหรัฐ สะเทือนเศรษฐกิจ 4 ปี

ดีเดย์ 2 เมษายน 2568 สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เตรียมประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน ถือเป็นระลอกสำคัญของสงครามการค้า (Trade War) ซึ่งประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเกินดุลการค้าสหรัฐฯ กว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 11 ของประเทศที่อาจถูกพิจารณาขึ้นภาษี

เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยได้จัดงานเสวนา "Trade War 2025: จะรับมือกับ Trump อย่างไร?" โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์ฯ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน


ไทยเผชิญมรสุมเศรษฐกิจ 4 ปีข้างหน้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ระบุว่า แม้จะเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทั้งหมดของ Trade War 2.0 แต่สิ่งที่แน่นอนคือ โลกกำลังเปลี่ยนไปตั้งแต่ 20 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ นับจากนี้ ตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความผันผวนที่อาจลากยาวถึง 4 ปี

ความปั่นป่วนเริ่มต้นแล้ว ดัชนีดาวโจนส์และ Nasdaq ร่วงลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ สิงหาคม 2567 และหนักขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดย Nasdaq ติดลบถึง 8% ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ขึ้นไปแตะ 110 ก่อนอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 102 ขณะที่ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยพุ่งขึ้นแตะระดับ 2,950-3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์


Trade War 2025: โลกกำลังเผชิญความเสี่ยงหลายมิติ

สงครามการค้ารอบใหม่นี้มี 3 เป้าหมายหลักของทรัมป์ ได้แก่:

  1. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ
  2. การลดภาระจากการค้าระหว่างประเทศ เปลี่ยนจาก Free Trade เป็น Fair Trade
  3. การจัดการกับจีนซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ

การแข่งขันระดับโลกจะทวีความเข้มข้นขึ้นใน 5 มิติ ได้แก่:

  • สงครามการค้า (Trade War)
  • สงครามเทคโนโลยี (Technology War)
  • สงครามการเงิน (Financial War) ผ่านกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนและสกุลเงิน
  • การแย่งชิงขอบเขตอิทธิพล (Sphere of Influence)
  • ความเสี่ยงสงครามทางทหาร

ผลกระทบต่อไทย: ส่งออก-นำเข้าถูกกดดันหนัก

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก (TDRI) ชี้ว่า สินค้าส่งออกของไทยมีความเสี่ยงสูง ต่อการถูกกีดกันทางการค้า เนื่องจาก:

  • สหรัฐฯ อาจบังคับให้สินค้าที่จำหน่ายในประเทศต้อง Made in America
  • อาจมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไทยเกินดุลสหรัฐฯ เช่น ยางรถยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องปรับอากาศ, อาหารสัตว์ และเฟอร์นิเจอร์
  • การค้ากับจีนอาจได้รับผลกระทบ โดยสินค้าจีนอาจทะลักเข้าไทยมากขึ้น ไทยจำเป็นต้องมีกลไกควบคุมคุณภาพและการทุ่มตลาด

โอกาสของไทยใน Trade War

แม้จะมีความท้าทาย แต่ไทยยังมีโอกาสใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. การลดดอกเบี้ย – เฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ไทยสามารถลดดอกเบี้ยตามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  2. ราคาพลังงานถูกลง – ราคาน้ำมันลดลงจาก 80 ดอลลาร์ เหลือ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากซัพพลายน้ำมันเพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ
  3. การลงทุนย้ายฐานเข้าสู่ไทย – การขยายตัวของอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะ EV, ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ส่งผลให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งใหม่ของโลก

ข้อเสนอเร่งด่วนเพื่อรับมือ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอให้ภาครัฐดำเนินการ 4 มาตรการเร่งด่วน:

  1. จัดตั้ง War Room เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
  2. เพิ่มมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ จากสินค้าจีนที่อาจทะลักเข้ามาทำลายตลาด
  3. ส่งเสริมสินค้า Made in Thailand เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก
  4. ปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม เปลี่ยนจาก OEM เป็น ODM และ OBM เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

สรุป: ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ Trade War 2.0

สงครามการค้าระลอกใหม่นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของกำแพงภาษี แต่เป็นเกมยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจที่ส่งผลกระทบทั่วโลก ไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีน ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าในภูมิภาคอาเซียน และพัฒนาอุตสาหกรรมภายในให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

Trade War 2025 กำลังจะเริ่มขึ้น ไทยพร้อมรับมือหรือยัง?

Trade War ภาษี การค้า โดนัลด์ ทรัมป์