ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมีนาคม 2568 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากความกังวลเรื่อง สงครามการค้า และนโยบาย ขึ้นภาษีนำเข้า ของสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งด้าน การส่งออก, การจ้างงาน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคมอยู่ที่ระดับ 56.7 ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ สะท้อนความไม่มั่นใจของผู้บริโภคต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบาย “Trump 2.0” ที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 10% ส่งผลต่อภาคการส่งออกไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ระบุว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวอาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกระหว่าง 100,000 - 150,000 ล้านบาท หรือประมาณ 0.7 - 0.9% ของ GDP ไทย ในปีนี้ ซึ่งยังเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น เนื่องจากผลกระทบยังอยู่ระหว่างการประเมินอย่างต่อเนื่อง
แม้ รัฐบาลไทย ได้ดำเนินมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง แต่ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจว่ามาตรการเหล่านี้จะเพียงพอต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภายนอก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ดัชนีย่อย 3 หมวดหลักของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้แก่
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม: ลดลงจาก 51.5 ในเดือนก.พ. เหลือ 50.5
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางาน: ลดลงจาก 55.2 เหลือ 54.2
ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต: ลดลงจาก 66.7 เหลือ 64.4
ทุกตัวเลขชี้ว่าผู้บริโภคมีความกังวลต่อทั้งเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ค่าครองชีพที่สูง ความขัดแย้งด้าน ภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงสถานการณ์ เศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มชะลอตัว
ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐเริ่มเห็นชัดเจนผ่านการปรับตัวลดลงของ ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะหลังจากการประกาศขึ้นภาษี 10% เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งบังคับใช้กับกว่า 60 ประเทศทั่วโลก รวมถึงจีนและ สหภาพยุโรป ส่งผลให้ การค้าทั่วโลก ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มขยายการขึ้นภาษีเป็น 90% ของสินค้าที่นำเข้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบวงกว้างมากขึ้น หากรวมการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอีก 36% ที่อาจตามมา
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ แนะให้ติดตามความเคลื่อนไหวในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนอย่างใกล้ชิดว่า สหรัฐฯ จะขยายมาตรการภาษีต่อหรือไม่ พร้อมแนะให้ รัฐบาลไทยเตรียมความพร้อมในการเจรจาทางการค้า
แม้ในภาพรวมการส่งออกของไทยปีนี้ยังคาดว่าจะขยายตัวได้ 3% แต่ความเสียหายจากสงครามการค้าอาจทำให้ GDP ไทยปี 68 โตเพียง 2 - 2.5% ซึ่งต่ำกว่าความคาดหวังเดิม
ด้าน ภาคการท่องเที่ยว แม้ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 38 ล้านคน แต่ก็มีโอกาสพลาดเป้า หากผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกยังยืดเยื้อ
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะให้รัฐเดินหน้า เบิกจ่ายงบประมาณ และลงทุน โครงสร้างพื้นฐานระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในระดับองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อกระตุ้นการจ้างงานในพื้นที่ พร้อมประเมินว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยในระยะสั้น แต่หากเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก ก็จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินและการคลังควบคู่กัน
ปัจจัยบวก:
การส่งออกบางรายการขยายตัว
ราคาน้ำมันขายปลีกลดลง
ราคาพืชผลการเกษตรบางชนิดดีขึ้น
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยู่ในระดับสูง
ปัจจัยลบ:
ความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ
ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ค่าครองชีพสูง เงินบาทอ่อนค่า
ราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ปัญหา PM 2.5 และภัยแล้ง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนมีนาคมสะท้อนชัดถึงความไม่มั่นใจของประชาชนต่อ เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก จากผลของ สงครามการค้า และ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ แม้รัฐจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แรงกดดันจากต่างประเทศยังคงเป็น ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่อาจฉุดการฟื้นตัวในปีนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สงครามการค้า ขึ้นภาษีนำเข้า GDP การค้าทั่วโลก