เศรษฐกิจไทยปี 2568: ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญอย่าง สงครามการค้า รอบใหม่ ซึ่งคาดว่าผลจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคมนี้ จะทำให้สหรัฐฯ ทยอยประกาศ มาตรการกีดกันทางการค้า กับประเทศคู่ค้าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ปริมาณการค้าโลก และ เศรษฐกิจโลก ในระยะถัดไปมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
นอกจากสงครามการค้าแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่น่าจับตาคือ ดอกเบี้ย ของเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจในด้าน นโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กล่าวว่า เงินเฟ้อ ของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะสามารถลดลงจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจยากขึ้นในปี 2568 หากเป็นเช่นนี้ ก็อาจส่งผลให้ ดอกเบี้ย ไม่ปรับลดลงตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในเรื่องของการ ดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
จากการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุด คณะกรรมการได้มีมติเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% และประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.9% ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 อาจไม่สดใสเหมือนที่คาดหวัง เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าและการปรับนโยบายการเงินของเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ แต่ประเทศไทยยังคงต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในอนาคต
ปี 2568 เตรียมตัวให้พร้อมกับการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และการขยายตัวของ GDP ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.9% ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนๆ ท่ามกลางปัจจัยที่ท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศ
(ประมาณการเศรษฐกิจปี 2567-2568 ณ วันที่ 18 ธ.ค.2567 ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% โดยมีค่ากลางที่ 2.8% โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการขยายตัวที่ต่ำกว่าคาดของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลก รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามที่ยังคงดำเนินต่อไป
"ในปี 2568 มีความเสี่ยงสูงและความผันผวนมาก สศช.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% ซึ่งได้คำนึงถึงความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า" ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าว
(รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2567 และแนวโน้มปี 2567-2568 เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2567 ที่มา สศช.)
เอกชนคาดเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวต่ำกว่า 3%
ในมุมมองของภาคเอกชน สำนักวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวต่ำกว่า 3% เนื่องจากเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาภายใน เช่น หนี้ครัวเรือนและปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่กดดันการเติบโต
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.4% โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังจะได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ (Trump 2.0) รวมทั้งปัญหาการผลิตเกินของจีนที่ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากไทยลดลง
ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.4% ซึ่งชะลอลงจากปี 2567 โดยได้รับผลกระทบจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวและการส่งออกที่โตช้าลงจากสงครามการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจหลักของโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจากจีน และปัญหาการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้าจีน เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวต่ำกว่า 3% เนื่องจากความไม่แน่นอนจากการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล
รัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร ตั้งเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจที่ 3% โดยจะผลักดันผ่านนโยบายต่างๆ เช่น การแจกเงินและโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบไม่ต่ำกว่า 1.4-1.5 แสนล้านบาทในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568
จากข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลัง ซึ่งได้เผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3% (ช่วงการขยายตัว 2.5-3.5%) โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ขณะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
(จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 กระทรวงการคลังได้เผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจไทยล่าสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 3% (โดยมีช่วงการขยายตัวที่ 2.5-3.5%) ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยบวก 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อาจบั่นทอนการใช้จ่ายในอนาคต
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่า หากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากสถาบันการเงินมองเห็นภาพเดียวกับรัฐบาล จะมีโอกาสที่สามารถขยายสินเชื่อได้มากขึ้น นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึงกรณีที่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะต้องพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
“หากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ก็คงต้องพิจารณาลดดอกเบี้ย แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีการประชุมทุก 2 เดือน หลังปีใหม่นี้ เราจะหารือกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ธปท., ธนาคารพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อดูทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ” พิชัยกล่าว
ส่วนความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่า ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ มาจากเศรษฐกิจโลกและนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะผลกระทบจากการใช้การค้าเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
“เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในโหมดชะลอตัว โดยที่สหรัฐฯ ยังดูดีอยู่ แต่ประเทศอื่นๆ อย่างยุโรปและจีนต่างประสบปัญหา ดังนั้น หากสหรัฐฯ เศรษฐกิจชะลอลง ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอไปด้วย” พิพัฒน์กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ, พิพัฒน์ยังมองว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีความไม่แน่นอนและอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลและการลงทุน
ในปี 2568, พิพัฒน์เสนอว่า นโยบายการเงินควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากสถานการณ์การเงินในปัจจุบันเริ่มตึงตัว จากการที่สินเชื่อเติบโตช้ากว่าการเติบโตของ GDP และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งนโยบายการเงินในช่วงนี้ควรจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจเกิดภาวะตึงตัวเกินไป
“ในขณะนี้นโยบายการเงินและการคลังต้องประสานกันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยนอกจากนโยบายการคลังแล้ว นโยบายการเงินและการปฏิรูปเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการร่วมกัน” พิพัฒน์กล่าว.
(พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ที่มาภาพ KKP)
3 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบเศรษฐกิจไทยในปี 2568
ปี 2568 ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบต่อการเติบโต โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยบวกที่อาจช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวได้ แต่สิ่งที่ต้องจับตามองในปีนี้คือ 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 แต่ความสำคัญของภาคนี้ในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอาจลดลง เนื่องจากจำนวนการท่องเที่ยวต่างชาติใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดแล้ว ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาค่อยๆ ลดลง และแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีต่อเศรษฐกิจจะค่อยๆ เบาบางลงไปในระยะยาว
พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวเตือนว่า หากภาคบริการไม่สามารถแบกรับเศรษฐกิจไทยต่อไปได้ ภาคอื่นๆ จะต้องเข้ามาช่วยเสริม หากไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจอาจจะมีปัญหาทางการขยายตัวอย่างรุนแรง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสำคัญของไทย เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี ต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายประการ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถปรับตัวได้ทัน การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศจีน รวมถึงความต้องการที่ลดลงภายในประเทศ
พิพัฒน์ยังเตือนว่า นโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะหากไทยได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีที่อาจนำไปสู่การลดลงของการส่งออกจากไทย และการรับมือกับสินค้าที่มาจากประเทศจีนที่ถูกส่งผ่านมายังไทย
ระดับหนี้ที่สูงของทั้งครัวเรือนและธุรกิจภายในประเทศ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรูปแบบของ "negative feedback loop" ที่หากเศรษฐกิจไม่ดี จะส่งผลให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ซึ่งทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศลดลง ยอดขายรถยนต์และบ้านลดลงตามไปด้วย กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ แต่ยังมีปัจจัยบวกที่อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ในปี 2568 โดยเฉพาะจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ
ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) คาดการณ์ว่า การส่งออกไทยในปีนี้จะขยายตัวที่ประมาณ 2-3% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ท้าทาย โดยประเทศไทยจะต้องมุ่งลดต้นทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มการลงทุนในประเทศ รวมถึงการปรับตัวของภาคการส่งออกที่ต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ
ปี 2568 ถือเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย โดยต้องจับตา 3 ปัจจัยหลักที่อาจกระทบต่อการเติบโต ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัว, ความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยที่ลดลง, และความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนและธุรกิจในประเทศที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ปัจจัยบวกจากการลงทุนภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้า.
เศรษฐกิจปี 68 สงครามการค้า การค้าโลก โดนัลด์ ทรัมป์ เศรษฐกิจโลก สศช. ส่งออก เศรษฐกิจไทย ธปท.