ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน และการแข่งขันในตลาดแรงงานทวีความรุนแรงขึ้น "ค่าแรงขั้นต่ำ" จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติของการสร้างหลักประกันรายได้ที่เป็นธรรมแก่แรงงาน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ "อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทย ประจำปี 2567" พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อการกำหนดค่าแรง เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทายของตลาดแรงงานไทย รวมถึงบทบาทของภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาศักยภาพแรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
อ้างอิงตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป พบว่าจังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย คือ จังหวัดภูเก็ต โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 370 บาทต่อวัน
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดภูเก็ตที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ นั้น สันนิษฐานได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจาก
สำหรับจังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรองลงมา ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 363 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ มีค่าครองชีพและอุปสงค์แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการสูงเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดนั้น ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการค่าจ้าง โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ดัชนีค่าครองชีพ สภาวะเศรษฐกิจ อุปทานและอุปสงค์ของแรงงานในพื้นที่
ปี 2567 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาดแรงงานในภูมิภาคอาเซียน หลายประเทศประกาศปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อรองรับภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ค่าแรงในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เปรียบเทียบ และวางแผนกำลังคน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
ประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศมาเลเซีย
ประเทศฟิลิปปินส์
ประเทศกัมพูชา
ประเทศเวียดนาม
ประเทศลาว
ประเทศเมียนมา
ประเทศลาวสิงคโปร์และบรูไน
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละประเทศในอาเซียนมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และนโยบายของรัฐบาล การศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์แรงงานของภูมิภาค และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
จากการศึกษาข้อมูลที่ได้รับ ประกอบกับการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ พบว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังต่อไปนี้
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2567 ประเทศไทยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ระหว่าง 330 - 370 บาทต่อวัน โดยจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญ มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดที่ 370 บาทต่อวัน สืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูง และอุปสงค์แรงงานในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เมื่อพิจารณาในบริบทของภูมิภาคอาเซียน พบว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยสูงกว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่ต่ำกว่าประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ และเนการาบรูไนดารุสซาลาม
ปัจจัยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละประเทศ เป็นผลจากการพิจารณาปัจจัยเชิงซ้อน มิใช่เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยลำพัง โดยปัจจัยที่สำคัญ ประกอบด้วย
ประโยชน์ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม โดยสรุป ดังนี้
ความท้าทายของประเทศไทย
แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางแรงงานในภูมิภาค แต่ยังคงมีความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไข ดังนี้
ประเทศไทยถือเป็นแหล่งทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพสูง ข้อมูลจากเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีกำลังแรงงานมากถึง 40.39 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานในช่วงอายุต่ำกว่า 35 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีแรงงานใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานกว่า 800,000 คน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจต่างๆ
แม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยจะอยู่ที่ 330 บาทต่อวัน ซึ่งมิได้อยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค แต่ประเทศไทยมีจุดแข็งที่สำคัญคือ คุณภาพของแรงงาน แรงงานไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นแรงงานที่มี ประสิทธิภาพสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน มีความวิริยะอุตสาหะ มีศักยภาพในการปรับตัว และมีความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ อัตราค่าจ้างแรงงาน จากข้อมูลในรูปภาพ จะเห็นได้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน โดยจังหวัดภูเก็ตมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่ 370 บาทต่อวัน ในขณะที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพียง 330 บาทต่อวัน ความเหลื่อมล้ำดังกล่าว อาจส่งผลต่อการกระจายรายได้และความเป็นอยู่ของแรงงานในแต่ละพื้นที่
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ประเทศไทยมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับนานาประเทศ อาจส่งผลให้เกิด การเคลื่อนย้ายแรงงาน ไปยังประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียแรงงานที่มีทักษะ ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และการปรับปรุงสวัสดิการ เพื่อจูงใจและรักษาแรงงานที่มีคุณภาพไว้ในประเทศ
โดยสรุป ประเทศไทยมี ศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแรงงาน ในภูมิภาค ด้วยจำนวนแรงงานที่มาก คุณภาพของแรงงานที่โดดเด่น และมาตรฐานการจ้างงานที่เป็นสากล อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านค่าจ้าง การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับตลาดแรงงานไทยในอนาคต
หมายเหตุ: ข้อมูลนี้อ้างอิงจากประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2566 ณ วันที่ 17 เมษายน 2567 อ้างอิง boi