หอการค้าไทยส่งสัญญาณไทยเตรียมรับมือผลกระทบจาก Trump 2.0 ทั้งทางตรงและทางอ้อม ชี้สะเทือนส่งออกไทย 1.6 แสนล้านบาท ฉุด GDP 0.8% ย้ำจับตาขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% ไทยเตรียมตกเป็นเป้าสินค้าจีนทะลักระลอกใหม่ ด้าน ‘ทักษิณ’ เรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการช่วยธุรกิจไทยลงทุนในสหรัฐอเมริกา หากไทยเกินดุลการค้ามากเกินไปอาจตกเป็นเป้าให้สหรัฐฯ พร้อมระบุว่า ไทยร่วมขบวน BRICS ช่วยหนุนตลาดเกิดใหม่ รักษาสมดุลการทูต
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ พร้อมนโยบาย ‘America First’ ที่ชาวอเมริกันต้องมาก่อนนั้น ทรัมป์จะเน้นการลงทุนภายในสหรัฐฯ มากกว่าการลงทุนในต่างประเทศ
ที่สำคัญคือนโยบายการค้าของทรัมป์ในการเตรียมปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% การขึ้นภาษีสินค้าทั่วโลก 10% และการขึ้นภาษีคู่ค้าแต่ละประเทศจนกว่าจะถึงจุดสมดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ จะส่งผลต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยที่ผ่านมาไทยมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เกินดุลอันดับที่ 9 และจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าไทยมีการเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ด้านการส่งออกสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แม้จะลดลงบ้างในปี 2018 แต่จากนั้นก็สูงขึ้นมาต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงสุดและมีความเสี่ยงที่สุดหากทรัมป์ปรับขึ้นภาษี ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 9,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 4,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดังกราฟิก)
หากในปี 2025 ทรัมป์ดำเนินตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ผลกระทบทางตรงที่จะเกิดกับไทย ได้แก่
ขณะที่ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่
“ตรงนี้ต้องจับตาผลกระทบจากการทะลักของสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดสินค้าไทยระลอกใหม่จากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 60% เพราะจีนจำเป็นต้องหาตลาดส่งออกใหม่ โดยไทยอาจเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ซึ่งนโยบาย Decoupling จะทำให้จีนต้องกระจายความเสี่ยงโดยขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทย”
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้จีนต้องเร่งระบายสินค้า ดังนั้นสินค้าจีนที่มีโอกาสทะลักเข้ามาตีตลาดสินค้าไทย ได้แก่ เครื่องจักรกล, เฟอร์นิเจอร์และสินค้าเบ็ดเตล็ด, อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, โลหะและผลิตภัณฑ์จากโลหะ และสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นโอกาสตลาดส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เป็นการทดแทนตลาดสินค้าจีน ทั้งเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง, ของเล่น, เกม, อุปกรณ์กีฬา, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, รองเท้า, เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้าน และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์
โดยสรุปหากดูจากผลกระทบแล้วจะเห็นว่าผลกระทบทางตรงจากการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลง 108,714 ล้านบาท และผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีนและสหรัฐฯ จะลดลง 49,105 ล้านบาท
“แต่หากดูภาพรวมนโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทยรวมกันแล้วอาจทำให้ไทยสูญเสียมูลค่าส่งออก 160,472 ล้านบาท การส่งออกหายไป 1.52% ฉุดให้ภาพรวม GDP ไทยลดลง 0.87% คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 2024 จะอยู่ที่ 3.21%
“ทั้งนี้ หาก GDP โลกปี 2025 ขยายตัว 2.7-3.2% ไทยจะส่งออกอยู่ที่ 2.8% มูลค่า 302,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดสำคัญยังคงเป็นยุโรป อินเดีย และสหรัฐฯ สินค้าเด่น ได้แก่ เครื่องจักรกล ผลไม้สดและแช่แข็ง และยางและผลิตภัณฑ์ยาง แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษี 10% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือ 2.24% และหากขึ้นภาษีกับประเทศที่เกินดุล 15% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือเพียง 0.72% ไทยต้องเตรียมรับมือและวางยุทธศาสตร์รอบด้านให้ดี” ธนวรรธน์กล่าว
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI มองว่าแม้ทรัมป์ต้องการให้เกิดการลงทุนในประเทศภายใต้ America First และ Make America Great Again แต่อย่าลืมว่าสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งพาซัพพลายเชนจากอาเซียนและประเทศพันธมิตร
“วันนี้จึงเป็นโอกาสของไทยในการดึงการลงทุนทั้งจากสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, แบตเตอรี่ในระดับเซลล์, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), Data Center และ Cloud Service”
แหล่งข้อมูล thestandard เสาวลักษณ์ เขตสูงเนิน