สาระสำคัญส่วนหนึ่งระบุว่า จีดีพีของประเทศไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4% ซึ่งเป็นการประเมินในเดือนต.ค.2567เป็นอัตราคาดการณ์ที่ลดลงจากการประเมินก่อนหน้านี้เมื่อเม.ย. 2567 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 2.8%
ส่วนคาดการณ์ปี 2568 ประเทศไทยจะขยายตัวได้ที่ 3.0%
นอกจากการปรับลดอัตราขยายตัวแล้วหากประเมินประเทศไทยกับเพื่อนบ้านอาเซียนพบว่า ปี 2567 ไทยยังมีอัตราขยายตัวที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ โดยฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 6.0% มาเลเซีย4.9% อินโดนีเซีย 5.0% เวียดนาม 6.1%และจีน 4.8%
“องค์ประกอบที่มีผลต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน การส่งออก การใช้จ่ายภาครัฐ ก็พบว่า ภาคบริโภคเอกชนหลายประเทศยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ฟิลิปปินส์ และจีน ขณะที่ไทยเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามคือการบริโภคของเอกชนลดลง ด้านการส่งออกก็มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เล็กน้อยมากต่างจากมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม พบว่าไทยเข้าวินในส่วนการส่งออกบริการเช่นเดียวกับ มาเลเซียและฟิลิปปินส์”
ในปี 2568 เอเชียและไทยต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงและความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจสูงมาก ทำให้ภูมิภาคนี้แม้จะเติบโตแต่ก็เป็นอัตราชะลอตัวที่ 4.4% เนื่องจากการชะลอตัวของจีนจากปัจจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์อ่อนแอ ความเชื่อมั่นบริโภคและนักลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ ยังไม่รวมปัญหาสังคมสูงวัยและความตึงเครียดทั่วโลก แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นการยกระดับการเติบโตในระยะสั้น ขณะที่การเติบโตในระยะยาวยังต้องดูการปฎิรูปเชิงโครงสร้างต่อไป จึงคาดกว่าปี 2568 เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้เพียง 4.3%
“ปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการค้าโลกและการปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นปกติ และปัจจัยเฉพาะประเทศ เช่น โปรแกรม Digital Wallet ของประเทศไทย ต่างส่งเสริมการเติบโตซึ่งกันและกันแต่ความท้าทายก็มากเกินกว่าที่จะทำให้ภูมิภาคนี้ยังไม่สามารถเติบโตได้ก่อนช่วงโควิด-19”
มานูเอลา วี. เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า การเติบโตเริ่มชะลอตัว เพื่อรักษาการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะกลางไว้ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะต้องดำเนินการเชิงรุกในการปรับปรุงและปฏิรูปเศรษฐกิจของตนให้ทันสมัยเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบทางการค้าและเทคโนโลยี
1.การเปลี่ยนแปลงการค้าและการลงทุน
2.การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน
3.ความไม่แน่นอนของนโยบายระดับโลกที่เพิ่มขึ้น
ประการแรก ความตึงเครียดทางการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐและจีนได้สร้างโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ เช่น เวียดนามได้ขยายบทบาทของตนในห่วงโซ่มูลค่าโลก(Global Value Chains)ด้วยการ “เชื่อมโยง(connecting)” พันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ โดยพบว่าบริษัทเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหรัฐ มียอดขายเติบโตเร็วกว่าบริษัทที่ส่งออกไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ เกือบ25% ในระหว่างปี พ.ศ.2561 - 2564
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานใหม่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจถูกจำกัดให้มีบทบาทเป็น “ตัวเชื่อมโยงทางเดียว(one-way connector)” มากขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า (rules-of-origin)ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการนำเข้าและการส่งออก
แหล่งที่มา ปราณี หมื่นแผงวารี : Economic